ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นเด็กสาวน่ารัก ร่าเริงสดใส เธอเรียนอยู่ โรงเรียนเดียวกับผม ห้องเดียวกัน โต๊ะที่นั่งก็ติดกัน แถมที่สำคัญ
บ้านผมก็อยู่ใกล้กับเธอ ในทุกๆ วัน ผมจะไปรับเธอหน้าบ้าน ด้วยการอ้างประโยคสั้นๆ ว่า ทางผ่าน เรามาโรงเรียน และกลับบ้านด้วยกันทุกวัน
เราทานข้าวกลางวันด้วยกันทุกมื้อ เพราะผมกับเธออยู่ในกลุ่มเพื่อนเดียวกัน เราสนิทกันมาก จนใครๆ ต่างล้อว่าผมกับเธอเหมือนเป็นแฟนกัน
เราทั้งคู่ต่างไม่ปฎิเสธใดๆ แต่ข้างในใจของผม ยอมรับเต็มที่ว่าผมมีใจให้กับเธอ
วันเวลาผ่านไป ผมกับเธอก็ยังคงสนิทกันอยู่อย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลง จนกระทั้งวันนึง มีนักเรียนต่างโรงเรียนมาขอเข้าเรียนกลางเทอม
3 วันผ่านไปก่อนกลับบ้าน เธอเดินมาบอกผมว่าวันนี้เธอจะไปกับเจ้านั้นยังไม่กลับบ้าน ผมตกใจแต่ได้แค่พยักหน้า
วันนั้นผมกลับไปแบบเบรอๆ ไม่รู้ว่ากลับมาถึงบ้านได้ยังงัย คืนนั้นทั้งคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ คิดแต่เรื่องของเธอ มันวนเวียนอยู่ในสมองของผม
วันรุ่งขึ้น ผมรีบตื่นมารับเธอแต่เช้า แต่ต้องพบกับความผิดหวัง เธอนั่งอยู่กับเจ้านั้น เพื่อรอผม เราสามคนเดินไปโรงเรียนด้วยกัน
ยิ่งนานวันผมก็เริ่มถอยห่างออกมา จบเทอมแล้วในวันนั้นเธอมาหาผมหน้าบ้าน ผมออกมาหาเธอ เธอพูดเพียงประโยคสั้นๆ
เธอจะต้องย้ายบ้าน ผมใจหาย เพราะความรู้สึกของผมยังเหมือนรอเธออยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ยังได้แต่อวยพรให้เธอโชคดี
10 ปีต่อมา ขณะผมกำลังเดินเพื่อจะไปรอรถเมล์ที่ป้าย ผมได้พบกับเธอ ผมจำเธอได้ติดตา เธอกำลังเอามือล้วงกระเป๋า
ระยะห่าง 1 เมตร ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมจะทักเธอดีไหม เธอจะจำผมได้ไหม จะทักเธอว่าอะไร คำถามของคนประหม่า ขึ้นมาอยู่ในใจผม
เพียงชั่วพริบตา เธอก็เงยหน้ามาเจอผม เธอยิ้ม พร้อมกับทักทายด้วยน้ำเสียงที่คุ้นหู เธอเล่าว่า วันนี้เป็นวันแรกที่เธอย้ายมาทำงานแถวนี้
ยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก เธอถามถึงสาระทุกข์สุขดิบผม สะจนผมเองแทบตอบไม่ทัน แต่ที่สำคัญไม่ว่าเธอจะพูดอะไร
ผมได้แต่มองหน้าเธอ และคิดถึงครั้งอดีตของเราสองคน(ของผมคนเดียวแท้ๆ) จนเธอโบกมือบอกว่าจะไปแล้ว
ผมถึงได้รู้ตัว สักพักรถเก๋งคันหรูทะเบียนเลขตอง ก็มาเทียบข้าง สะงั้น เธอเปิดประตูเข้าไปนั่งพร้อมกับบอกผมว่า
เราคงได้เจอกันอีก ผมยิ้มแก้มปริ คืนนั้นผมนอนยิ้มไม่หุบเลย
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นก่อนไก่โห่ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากๆ ผมรีบแต่งตัวไปทำงาน ไม่ไช่อะไรหลอกครับ ผมไปยืนตรงที่เจอเธอ เพียงหวังว่าผมคงได้เจอเธออีก ใกล้เวลาเข้างานไปทุกทีทุกที ผมยังไม่เห็นเธอเลย ผมไม่ละความพยายาม เที่ยงวันนั้นผมข้ามสะพานลอยมาหาของทานแถวๆ นั้น แต่ผมก็ผิดหวังเป็นครั้งที่สอง เพราะผมไม่เจอเธอเลย ทั้งวันผมไม่เป็นอันทำงานทำการ ครุ่นคิดแต่ว่าจะได้เจอเธอไหม
เย็นนั้นผมตอกบัตรออกเป็นคนแรกของออฟฟิต รีบเดินรีบวิ่งเพื่อมารอเธอที่เดิม หัวใจผมพองโต ที่ได้เห็นเธออีกครั้ง เราทักทายกันเหมือนเดิม เธอดูมีความสุขที่ได้พูดคุยกันในเรื่องเก่าๆ ถึงแม้ว่ารถเก๋งคันนั้นจะมารับเธอที่เดิมทุกๆ วัน ผมก็ยังคงมารอเธอที่นี่ทุกวันเช่นกัน เราคุยกันอยู่ได้ 4 วัน วันนี้เธอมารอรถเก๋งคันนั้นอยู่ที่เดิม เธอแปลกไปกว่าทุกวัน ตรงที่วันนี้ เธอบอกเธออาจจะต้องไปทำงานที่อเมริกา ผมนิ่งไป ในใจก็คิดแต่ว่า เราต้องจากกันเหมือนครั้งที่ผ่านมาใช่ไหม ผมไม่มีคำใดจะเอ่ยทั้งๆ ที่ในใจผม มีคำเป็นล้านๆ คำอยากจะพูดออกไป แต่ผมก็พูดออกไปได้ประโยคเดียวเท่านั้น โชคดีนะ เธอนิ่งแล้วเธอก็ขึ้นรถคันนั้นไป
10 ปีผ่านไป ผมยังคงทำงานอยู่ที่เดิม ใช้ชีวิตประจำวันแบบเดิมๆ บ้านก็อยู่ที่เดิม รถก็ยังคงขึ้นรถเมล์เหมือนเดิม ทุกอย่างในตัวผม ล้วนแต่เป็นของเดิมๆ ทั้งสิ้น วันนี้เป็นวันที่แปลกออกไปจากเดิม ผมต้องไปหาเพื่อนเก่าที่เราได้นัดกันไว้ เมื่อลงรถมาผมเห็นเด็กน้อยน่ารักกำลังจะข้ามถนน แม่ของเธอก็จูงลูกแบบทุลักทุเล เพราะมือของเธอถือของแบบพะรุงพะรัง ผมเดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อย แม่ของเธอหันมา เธอนั้นเอง เธอตกใจนิดหน่อยที่ได้เจอผม แล้วยิ้มหวานๆ ของเธอก็ปรากฏขึ้น ผมพาเธอกับลูกไปทานไอศครีมได้สักพัก เธอก็ขอตัวกลับ พร้อมกับยื่นเบอร์โทรให้กับผม แล้วบอกให้ผมโทรหาเธอด้วย ผมก็ผยักหน้ารับ ผ่านไป 2 วันผมก็โทรหาเธอ เธอชวนผมมาที่บ้าน ผมตกลงแบบแทบไม่ได้คิด
แล้วเสาร์ที่รอคอยก็มาถึง ผมมาหาเธอตามทางที่เธอบอกผม บ้านเธอใหญ่พอควร พูดง่ายๆ ว่าใหญ่กว่าบ้านผม 2เท่าได้ เธอและลูกวิ่งออกมารับผมหน้าบ้าน ผมหวั่นๆ ในใจว่าอาจได้เจอสามีเธอในไม่ช้า เป็นงัยเป็นกัน บ้านเธอดูสะอาดสะอ้าน สวนดูได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี ดูท่าแล้วเธอคงเป็นแม่บ้านที่ดีแน่ๆ ผมนั่งอยู่ในห้องรับแขกได้สักพัก ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ใช่แล้วครับ เป็นคนเดียวกับที่ผมเห็นในรถเก๋งหรูทะเบียนเลขตอง เขาคงเป็นสามีของเธอ เขายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรแล้วหันไปหาเธอถามว่านี่เพื่อนไช่ไหม เธอหันมาหาผมแล้วแนะนำกับผมว่า นี่พี่ชายฉันชื่อพี่อ้น พี่อ้นค่ะนี่เป้ ผมทำหน้างงๆ เธอรีบหัวเราะ พี่อ้นเรียนอยู่เมืองนอกตั้งแต่เล็ก ป้าขอพี่อ้นไปเลี้ยงอยู่ที่เมืองนอก อ้าว....... ผมเข้าใจผิดเธอไปสะนานเลย เธอทำอาหารให้ผมทาน ฝีมือเธอดีมาก เธอสอนลูกของเธอในเรื่องการทานอาหารอย่างแม่ที่เพียบพร้อมไปด้วยมารยาทงาม ผมแอบปลื้มเธอในใจ ใครนะชั่งเป็นคนโชคดีที่ได้เธอเป็นภรรยา ก่อนกลับ เธอหยิบกล่องของขวัญผูกโบว์สีสันสวยงามออกมาให้ผม เธอบอกว่า พอรู้ว่านายจะมา ฉันเลยเตรียมไว้ให้ เนื่องในวันที่เราได้เจอกัน ผมทำหน้างงๆ อีกครั้ง เธอหัวเราะแล้วบอกให้ผมเดินทางปลอดภัย
ผมขึ้นมานั่งบนรถ ยังไม่ทันถึงไหน ผมรีบหยิบของขวัญที่เธอให้มาเปิดออกดู ด้านในเป็นสมุดหนังเล่มหนา ผมเปิดดูหน้าแรกอย่างใจจดใจจ่อ เธอระบายสีหน้าแรกอย่างสวยงาม พร้อมกับคำสั้นๆ ว่า รักแท้..เธออยู่ไหน ผมรีบเปิดหน้าสองทันที ผมเริ่มอ่านทุกตัวอักษรที่เธอเขียน มันบรรยายถึงชีวิตในช่วงที่เธอได้รู้จักกับผม และที่สำคัญมีอยู่ตอนหนึ่งที่เธอไปกับเจ้าเด็กใหม่คนนั้น เธอ บันทึกไว้ว่า วันนี้ไปบอกนายว่าจะกลับบ้านกับบอล ดูนายเฉยๆเป้ ทำไมนายไม่ชวนเราไปกินไอศครีมบ้างเลย หรือว่านายไม่ได้คิดกับเราเกินเพื่อน หรือเราต้องเปิดใจรับคนอื่นดู เราขอโทษที่เราคิดกับนายมากว่าคำว่าเพื่อน เราจะไม่ทำให้นายต้องลำบากใจอีก อ่านถึงตรงนี้ผมสะดุด ทำไมผมถึงปล่อยให้ตัวเองเสียโอกาสไป เมื่อผมอ่านต่อ ข้อความของเธอบอกถึงความรู้สึกที่ไม่เคยจางหายไปจากผม วันที่เธอต้องย้ายบ้าน เธอหวังอยากได้ยินว่าให้ติดต่อกันหรือคำอะไรก็ได้สักคำที่เป็นความห่วงหา แต่เธอกับไม่ได้รับ เธอบรรยายถึงที่เรียนใหม่ มีเพื่อนมากมาย แต่ไม่มีใครทำให้เธอรู้สึกประทับใจมากเท่าผม เหมือนเธอไม่เคยลืมผมไปเลย เธอเล่าถึงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ต่างๆ นาๆ จนเธอเรียนจบ เข้าทำงาน มาถึงตรงนี้รถก็มาจอดป้ายที่ผมต้องลงพอดี
ผมเริ่มเปิดสมุดบันทึกอ่านอีกครั้ง
วันนี้ได้เจอนายอีกแล้ว นี่เป็นพรหมลิขิตหรือเปล่า ฉันแอบหวังเล็กๆ ในใจ ทำไมวันนี้ข้าวเย็นอร่อยจัง นายจะฝันถึงฉันบ้างหรือเปล่านา....
16 เมษายน 2541 ทำงานไม่รู้เรื่องเลย ได้แต่แอบคิดถึงนาย แล้วเราก็ได้เจอกันอีก ฉันแอบเก็บรายละเอียดหน้านายไว้ในใจ เพื่อคืนนี้ฉันจะได้ฝันถึงนายแบบสมจริง นายยังดูสุภาพเหมือนเดิมทุกอย่าง อยากคุยกับนายนานๆ จัง แต่พี่อ้นชอบมาขัดจังหวะทุกที พรุ่งนี้เจอกันอีกนะ
17 เมษายน 2541 แปลกใจจัง นายไม่เห็นขอเบอร์เราบ้างเลย จะให้เราต้องเป็นขอหรืองัย แต่ก็ยังดี ที่นายไม่ลืมเรื่องเก่าๆ ของเราสองคน พูดถึงเรื่องนี้ที่ไร ฉันก็แอบอมยิ้มไม่ได้สักที คืนนี้ขอให้นายฝันดี ฝันถึงกันบ้างนะ
18 เมษายน 2541 เช้านี้พี่อ้นทำให้ต้องคิดมากอีกแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ไม่อยากเก็บมาเป็นอารมณ์ วันนี้งานเยอะมากๆ กว่าจะเสร็จแทบแย่ วันนี้เจอนายติดกันเป็นวันที่ 4 แล้ว นายยังดูน่ารักในความคิดของฉันไม่เปลี่ยนเลย แต่นายก็ยังไม่ขอเบอร์ฉันอยู่ดี ตอนนี้มีเรื่องคิดมาก นายรู้ไหม พี่อ้นจะให้ฉันไปทำงานกับเพื่อนเขาที่อเมริกา ไม่อยากไปเลย พรุ่งนี้ลองไปถามนายดีกว่า ฝันดีนะ นายเป้
19 เมษายน 2541 นายพูดเป็นประโยคเดียวเลย ฉันตัดสินใจได้ในทันที เราคงไม่ไช่คู่กันแน่ๆ เขาคงส่งเราสองคนให้มาเป็นเพื่อนกัน จะร้องไห้ไปทำไมก็ไม่รู้
ผมเริ่มนึกโกรธตัวเอง ที่ไม่เคยเผยความรู้สึกอะไรเลยให้เธอรู้ ผมโทรหาเธอทันที เธอรับโทรศัพท์พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า นายยังไม่ได้อ่านบันทึกหน้าสุดท้ายไช่ไหม ผมตกตะลึง นายลองอ่านดูสิ
นี่เป็นบันทึกหน้าสุดท้ายแล้วนายจำ อ้วน เพื่อนเราสมัยเรียนได้ไหม ฉันได้เจอเขาตอนฉันกลับมาเมืองไทย เรานัดเจอกัน อ้วนได้ยื่นของขวัญชิ้นหนึ่งให้กับฉัน ถูกต้องมันคือสมุดบันทึกของอ้วน ในสมุดบันทึกนั้น บรรยายถึงฉันแทบทุกกิริยาบท ฉันซาบซึ่งมาก ต่อจากนั้นมาเราก็ได้ลองคบกัน ถึงเราจะต่างอยู่กันคนละด้านของโลกและในที่สุดเราสองคนก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกันที่อเมริกา อ้วนดีกับฉันมาก แต่งงานได้ปีกว่าฉันก็มีเจ้าต้วน้อยออกมาให้ชื่นชมเล่น ทำให้ฉันเริ่มคิดได้ว่า ความรัก คือความรู้สึกหวังดี ห่วงใย ใส่ใจต่อกัน แต่การหา รักแท้ เพียงคุณลองหลับตา รักแท้อาจอยู่ใกล้คุณแค่เอื้อม
ปล. ฉันส่งสมุดบันทึกเล่มนี้เพียงอยากให้นาย ได้เจอคู่แท้ ที่อาจอยู่ไม่ไกลจากตัวนาย ส่วนฉัน ฉันรู้แล้วว่าคู่แท้ของฉันคือใคร ขอให้นายโชคดี
บทความดีๆ จาก oHoMyLife.com |