พรหมลิขิต

 
   
     
 

หากคุณเคยสงสัยว่า พรหมลิขิตเป็นอย่างไร ลิขิตอะไรไว้บ้าง วันนี้เราขอหยิบเรื่องราวตำนานของชาวฮินดูที่บอกเล่าถึง พรหมลิขิตมาให้อ่านกันเพลินๆ

เรื่องย่อๆ มีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่ง ยังมีพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าจำไม่ได้ มเหสีของท้าวเธอทรงมีพระโอรส 2 พระองค์ ทางมีพระธิดาเป็นองค์สุดท้อง

ทุกครั้งที่มเหสีประสูติ ปุโรหิตผู้เปี่ยมด้วยความรอบรู้และเฉลียวฉลาด ยอมกระทำผิดถึงขั้นอุกฤษ แอบดอดเข้าไปในที่รโหฐานโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น เพราะปุโรหิตรู้ดีว่า หลังประสูติ 6 วัน พระพรหมจะเสด็จลงมาลิขิตวิถีชีวิตบุคคลในวันนั้นไว้ที่หน้าผากของทุกๆ พระองค์

เนื้อหาของพรหมลิขิต สรุปได้ 5 ประการคือ
  1. กำหนดความสั้นยาวของอายุ ระบุไว้หมดว่าเกิดวันนี้ เวลานี้ ถึงกำหนดสิ้นอายุเมื่อใด เพียงแต่ไม่ได้ทำเป็นบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น เข้าใจว่าพระพรหมคงจะได้ส่งแฟกซ์ให้พญายมด้วย เพื่อความสะดวกในการประสานงาน ตัดปัญหาความขลุกขลักที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหน้า
  2. กำหนดความโน้มเอียงทางอารมณ์ ว่าจะให้เอนเอียงไปในทางธรรม หรือว่าทางศิลปะ ศิลปิน หรือจะให้เป็นเหยี่ยวถลาลมไปในหมู่อันธพาล
  3. ป้อนไอคิวบรรจุความเฉลียวฉลาดมาเรียบร้อย ถ้าไอ้คิวสูงมีแค่ 50 ต่อให้ตั้งชื่อว่าแสนรู้ก็คงแก้ไม่ได้ แต่ถ้าเกิดมาขี้โรค แล้วจะให้แก้ไม่ให้ขี้โรค เห็นจะพออนุโลมได้อยู่บ้าง
  4. กำหนดไว้พร้อมว่า ถึงระยะใดจะมีฐานะเช่นไร จะได้ครอบรองทรัพย์สินศฤงคารเท่าใด มีที่ซุกหัวนอนกว้างใหญ่ขนาดไหน หรือไม่มีเลยตลอดชาติ อย่างที่เห็นๆกันอยู่ บางท่านบุญหนัก มีกำแพงบ้านสูงเลยหัวยาวเกือบจะถึง 1 กิโลเมตร แต่บางคนต้องซุกหัวนอนตามใต้สะพานมีถมไป
  5. กำหนดความสำนึกในบุญและบาปไว้พร้อม ท่านที่สร้างสมบารมีมามาก อยากบวชมาตั้งแต่เล็ก บ้างก็คิดคุกจนตายก็มีอยู่
กลับมาต่อกัน ปุโรหิตแอบดูก็รู้เรื่องพรหมลิขิตของพระโอรสและพระธิดาครบถ้วนทุกพระองค์ แล้วก็จดจำไว้จนหมดสิ้น

พรหมลิขิตของพระโอรสองค์แรกมีว่า “เขาผู้นี้จักต้องเป็นพราน หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์แต่ในวันหนึ่งๆ เขาจะจับสัตว์ได้เพียงวันละ 1 ตัวเท่านั้น”

ปุโรหิตได้ฟังดังนั้นจึงนำมาตีความว่า
  1. เขาจะทำมาหากินได้เพียงทางเดียว คือเป็นพรานล่าสัตว์ส่วนจะล่าสัตว์อะไร ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ และสมรรถนะหรือศักยภาพของตัวเอง แต่ถ้าคิดอ่านจะขายเต้าฮวยแล้ว ไม่ถูกต้อง ตามทฤษฏีแห่งความน่าจะเป็นจึงเป็นไปไม่ได้
  2. ที่ว่า “แต่ในวันหนึ่งๆ” ตรงนี้ต้องขยายความออกไปว่า วันหนึ่งๆ ในทางโหราศาสตร์ภาคพยากรณ์นั้น หมายถึงตั้งแต่เวลาดวงอาทิตย์ขึ้นของวันนี้ จนถึงเวลาก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้นในวันถัดไปนับเป็น 1 วัน
  3. “เขาจะจับสัตว์ได้เพียงวันละ 1 ตัวเท่านั้น” ประกาศิตข้อนี้ต้องใคร่ครวญให้ดี ถ้าเจ้าชายจะใช้แหจับนกกระจาบทั้งฝูง เพื่อนำไปทอดกระเทียมพริกไทย เห็นจะไม่สำเร็จ เพราะถึงจะทอดทั้งฝูง แต่จับได้เพียงวันละตัวเท่านั้นถ้าขืนจับนกกระจาบทอดกระเทียมพริกไทยขายวันละตัว ต้องเจ๊งแน่นอน จะต้องล่าสัตว์อื่นอีก
ครั้นตรึกตรองรอบคอบแล้ว ปุโรหิตจึงเก็บความคิดสำเร็จรูปนั้น ซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดของสมอง

ส่วนเจ้าชายองค์รอง พระพรหมอุตริให้มีอาชีพเป็นคนขายหญ้า แล้วก็อนุญาตไว้ว่า ให้มีวัวตัวผู้ไว้นำหญ้าไปขายได้เพียง 1 ตัว เสมอไป จะมีมากกว่า 1 ตัวไม่ได้เด็ดขาด

ดังนั้นความน่าจะเป็น เจ้าชายองค์รองก็เปลี่ยนอาชีพไปรีดนมวัวขายไม่ได้ เพราะวัวตัวผู้คงไม่มีนมให้รีด แต่ท่านปุโรหิตผู้ชาญฉลาดเกินมนุษย์ก็คิดค้นจนพบทางแก้เผ็ดพระพรหมจนได้ ว่าแล้วก็เก็บความคิดสำเร็จรูปใส่ไว้ในส่วนลึกที่สุดของสมอง

ครั้นปุโรหิตมาฟังพระพรหมประกาศิตแก่พระธิดา ถึงยิ่งไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะพระพรหมดันลิขิตให้ ต้องเป็นหญิงขายบริการ บำบัดกิเลสตัญหาแก่ชายทั่วไป เสียศักดิ์ศรีเสียสุขภาพทางกาย ทำร้ายสุขภาพทางจิต ดีนะที่สมัยก่อนพุทธกาลโรคเอดส์เกิดไม่ทัน

ปุโรหิตตรึกตรองหาช่องทางเล่นงานพระพรหมได้แล้ว ก็เก็บความคิดนั้นไว้ วันเวลาผ่านไป แผ่นดินนี้สิ้นความสุขเพราะเกิดศึก พระราชาสิ้นพระชนม์กลางสมรภูมิ บ้านแตกสาแหรกขาด พระโอรสและพระธิดาต่างแยกย้ายหนีหายกระจัดกระจายพลัดพรากไป แต่ปุโรหิตผู้จงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ ก็อุตส่าห์ตามสืบหาพระโอรสและพระธิดาเรื่อยไป จนได้พบหมดทั้ง 3 พระองค์

เมื่อพบเจ้าชายองค์ใหญ่ และได้ทราบว่าต้องดำรงพระชนม์อยู่ด้วยการเป็นพรานป่าล่าสัตว์ ได้เพียงวันละ 1 ตัวจริงๆ ตามพรหมลิขิต เจ้าชายจึงต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความอัตคัดขัดสนยิ่งนัก เพราะความจนเป็นทุกข์ในโลก ปุโรหิตรู้ว่าถึงเวลาแล้วจึงทูลแนะนำให้เจ้าชายองค์ใหญ่ตั้งสัจวาจา ให้เลือกล่าแต่ช้างภัทรชาติ อันมีแก้วมหามุกดาอยู่ในหัวกะโหลกเท่านั้น

แม้ช้างภัทรชาติจะมีน้อย และพบได้ยากเย็นสักปานใด ก็ตามที แต่เป็นหน้าที่ของพระพรหม จะต้องส่งช้างภัทรชาติมาให้เจ้าชายได้ล่าทุกวันไป เพราะแก้วมหามุกดานั้นเป็นที่ปรารถนาของชนทั้งหลายในชมพูทวีปยิ่งนัก

เจ้าชายก็ปฎิบัติตามคำแนะนำของปุโรหิตทุกประการ ปัญหาเกี่ยวกับความอัตคัดยากจนนิรันดรก็ค่อยๆ หายไป แต่สัจวาจาของเจ้าชาย กลับเป็นเหตุให้พระพรหมยากแค้นลำเค็ญหัวใจแทน และชักจะร้อนรุ่มกลุ้มใจและหวั่นเกรงขึ้นมาทันที

เมื่อปุโรหิตมาเจอเจ้าชายองค์รองก็ได้ทราบว่าต้องเป็นคนขายหญ้าผู้มีวัวตัวผู้ไว้ในครอบครองแต่เพียง 1 ตัว จริงตามพรหมลิขิตอีก ปุโรหิตจึงทูลแนะนำ ในฐานะที่ปรึกษาว่า ไหนๆ พระพรหมก็ลิขิตให้ต้องมีวัวตัวผู้เพียงตัวเดียวเท่านั้น สำหรับนำหญ้าไปขายแล้ว จะขายไปทำไมกับหญ้าเปล่าๆ ขายมันเสียทั้งวัวทั้งหญ้าให้มันรู้แล้วรู้แรดไปเลย เมื่อพรหมลิขิตให้ต้องมีวัวอยู่ 1 ตัวเสมอไป แล้วพระพรหมก็ต้องส่งวัวตัวใหม่มาให้อีกจนได้แหละน่า

เจ้าชายองค์รองคิดได้สว่างวาบขึ้นทันที ปฏิบัติตามคำแนะนำของปุโรหิตทุกประการผลก็คือ ความยากจนอย่างถาวรก็ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นมั่งมีศรีสุขขึ้นตามลำดับ เป็นผลให้พระพรหมผู้ร่างธรรมนูญแห่งชีวิตต้องขวนขวายหาช้างภัทรชาติให้เจ้าชายองค์โตวันละ 1 ตัว แล้วยังต้องหาวัวตัวผู้มาให้องค์น้องอีกวันละ 1 ตัวทุกวันไป การหาสัตว์ทั้งสองประเภทให้ได้ทุกวันในชมพูทวีปครั้งกระนั้น เป็นภาระหนักหนาสาหัสเอาการอยู่พระพรหมจึงอ่อนแรงลงทุกวัน

ครั้งปุโรหิตได้พบพระธิดาองค์น้อย ให้รู้สึกแค้นพระพรหมหนักหนา แต่เมื่อคิดได้ว่า ยังดีอยู่หน่อยหนึ่งที่นางมีแขกมารับบริการเพียงคืนละ 1 คน ถึงรายได้จะน้อยนิด แต่สังขารก็ไม่เสื่อมโทรมเร็วจนเกินไป ปุโรหิตจึงทูลเสนอ ให้นางขึ้นอัตราค่าบริการเป็นคืนละ 100 ดอลล่าร์ ซึ่งในสมัยพุทธกาลถือว่าแพงอภิมหาแพงเลยทีเดียว การที่จะจัดส่งเศรษฐีระดับนั้นมาจ่ายเงินให้นางทุกคืน จึงเป็นภาระหนักอึ้งแก่พระพรหมอีกเช่นเดียวกัน

พระพรหมจึงลงมาต่อรองกับปุโรหิต ปุโรหิตจึงได้ต่อว่าพระพรหมไปว่า ท่านอุตริลิขิตบ้าๆ บอๆ ตามใจชอบ ลืมตัวไปว่าเมื่อท่านได้ประกาศิตออกไปแล้ว คำพูดเหล่านั้นกลับกลายเป็นนายท่าน ปุโรหิตจึงต่อรองกับพระพรหมให้นำเมืองกลับมาให้แก่พระโอรสและพระธิดา พระพรหมก็ตอบรับกับคำขอ

ดังนั้น... แม้พรหมจะลิขิตมา หากเรารู้จักคิดรู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา ผลของชีวิต มักขึ้นอยู่กับตัวเองโดยทั้งสิ้น เมื่อเราใช้ความคิดแล้วควรมีสติด้วย แล้วชีวิตจะลิขิตตัวเอง